Tuesday, July 17, 2012
Swatch and Review Etude bronzer : Top ten V-line maker VS golden ratio contour maker
Posted by Cook n Bake Journal By Morningglory Khae at 6:07 AM
Swatch and Review
Etude bronzer : Top ten V-line maker
VS golden ratio contour maker
อืม บล๊อกนี้จะเอาท์สักหน่อยสำหรับสาวกอีตูดี้ เพราะตอนนี้มีบรอนเซอร์รุ่นใหม่ออกมาแล้ว ไม่เป็นไร ถือว่าแบ่งปันข้อมูลเนอะ
บรอนเซอร์ 2 รุ่น นี้ อีตูดี้ออกมาพร้อมโฆษณาสรรพคุณที่ทำให้หน้าเรียว หน้ารูปตัววีประมาณนั้น มากกว่าจะออกมาใช้เป็นบรอนเซอร์ปัดทั่วหน้า เอ้า ก็เขาบอกว่าเป็น contour ไง ใช่มั๊ย ฮ่าๆ
มาดูตัวที่ได้มาก่อน นั่นคือ top ten V-line maker
ลักษณะหน้าตาตลับเป็นแบบนี้
ด้านหลังบ้าง
สีข้างในเป็นแบบนี้
ใต้แสงไฟ
ด้านในแบ่งเป็น2 สีคือ เฉดดิ้งและไฮไลต์ แบ่งครึ่งด้วยแนวเส้นสวยๆ จริงๆด้านสีเข้มจะมีรอยบุ๋มคล้ายๆลูกน้ำหรือหัวใจนี่แหละ แต่ใช้จนมันตื้นไปละ อิอิ ตลับค่อนข้างบางพกง่ายดีคล้ายๆพกตลับแป้ง ความแข็งแรงสวยงามโอเค ชอบ
แรกเปิดตลับ คือ กลิ่นค่ะ กลิ่นช๊อกโกแลตลอยมาแตะจมูก ได้กลิ่นแล้วก็อยากชิมซะงั้น ที่ฝามีกระจกขนาดใหญ่เต็มตลับ รุ่นนี้ไม่มีบรัชแถมมาให้นะ
ดูสีกันบ้าง
ทั้ง2 สีมีวิ้งทองละเอียดแทรกอยู่ ตัวสีไฮไลต์มันอมนวลมากกว่าขาวเหมือนไฮไลต์ทั่วไป ซึ่งเราว่ามันเว่อร์เกินถ้าจะใช้ไฮไลต์ดั้ง แต่เอาไปไลท์หัวตา โหนกคิ้งพอได้ ก็เลยไม่ค่อยได้ใช้ อื้ม น่าจะใช้เป็น
อายแชโดว์ได้ดีนะเราว่า
ส่วนสีเข้ม แรกปาดมาจะมีวิ้งติดมาเห็นได้ แต่พอปัดๆปาดๆไปแล้ว วิ้งหล่นร่วงหมดเกลี้ยง สีน้ำตาล
อมส้มนิดๆ เหมือนช๊อกโกแลตแหละ สีโอเคที่จะคอนทัวร์หน้้าให้เรียว แต่คนขาวควรเบามือเพราะสีจะตัดชัดไป รวมๆที่ลองใช้มาก็โอเค ราคา 400 กว่าๆ ไม่เสียหายแต่ไม่ถึงกับรัก
ตัวที่สองบ้างดีกว่า
golden ratio contour maker
ได้มาหลังตัวแรก ทั้งที่คุณสมบัติคล้ายกัน แต่ด้วยความอยากลองของใหม่ด้วย อยากรู้ด้วยว่าจะดีกว่ามั๊ย ก็สอยมาซะ จำได้ว่ารอพรีเกือบเดือนอ่ะเจ้าตัวนี้ ดันไปสั่งตอนออกมาใหม่ๆ
ตลับเป็นสี่เหลี่ยม หนากว่าตัวแรกเยอะ ภายนอกออกแนวเรโทรนิดๆ เก๋ดี อ้อ รุ่นนี้มีให้เลือก 2 เฉดนะ เราซื้อมาเบอร์ 2 pink
ภายในมี 3 ช่อง
ใต้แสงไฟ
ด้านในจะมีกระจกขนาดเต็มฝา มีแผ่นพลาสติกวางกั้นกระจกกับเนื้อบรัช มีแปรงมาให้ 1 อัน ชอบตรงนี้แหละเลยซื้อ
มีสามช่องสำหรับสามการใช้งาน บรัชให้มาน้อยที่สุด ทั้งที่มันน่าจะมากที่สุด แปลกดี
ปาดสีให้ดู
สีไฮไลท์ ออกขาวกว่ารุ่นแรก วิ้งวาวพอๆกัน
สีบรัช เป็นสีชมพูอมส้ม สวยดี เราชอบนะ แต่ติดไม่ทนเอาซะเลย
สีเฉดดิ้ง สีอ่อนมาก ติดวิ้งวาวผิดกับรุ่นแรกมาก เป็นเฉดดิ้งที่เหมาะกับคนผิวขาวมากๆ เพราะปัดแล้วไม่โดด ส่วนเราหรอ เฉดแล้วไม่เห็นความต่างอ่ะ หน้ายังบานเท่าเดิม เผลอๆไอ้วิ้งวาวของมันจะขยายหน้าให้บานหนักกว่าเก่าดิ
สรุปว่าไม่ชอบสีเฉดดิ้งของตลับนี้เลย ชอบสีบรัชมากกว่า แต่ชอบพกเพราะมันมีแปรง แม้มันจะเทอะทะกว่า อ้อ ช่วงเห่อก็เอาไล้ดั้งบ้างอะไรบ้าง ไม่แรงดี ตอนนี้ว่าจะเอามาเป็นอายแชโดว์ละ
สรุปตามความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ
คุณภาพ ดี สมราคา
เนื้อสี พอใช้ได้ ชอบรุ่นtop ten มากกว่า และเรายังตามหาเฉดดิ้งที่ใช้ต่อไป
Friday, June 15, 2012
Review All my sample mask products part 1
Posted by Cook n Bake Journal By Morningglory Khae at 4:42 AM
Review All my sample mask products part 1
ใครที่เคยซื้อสินค้าพวกเครื่องสำอางเกาหลี คงจะได้เทสเตอร์มาลองใช้กันถ้วนหน้า เราก็เป็นคนนึงที่ได้และเคยลองซื้อเทสเตอร์มาลองใช้ แต่มาพักหลังก็ไม่ได้ซื้อแล้วเพราะของปลอมเยอะมาก
เทสเตอร์ที่มี ไล่ตั้งแต่ล้างหน้า มาสก์หน้า บำรุง บีบี ยันทิ้นกันเลย แต่เชื่อมั๊ยว่าไม่เคยตามไปซื้อไซค์จริงมาใช้ ฮ่าๆ เพราะเราเฉยๆกับคุณภาพด้วยและขี้เบื่อไง ชอบลองชอบเปลี่ยน เลยไม่ค่อยซื้อไซค์ใหญ่ๆมาตุน เว้นบางตัวที่มันดีมันคุ้มค่าจริงๆ
วันนี้เอาเทสเตอร์สุดฮิต และมีปลอมกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันมาให้ดู
จะมีอะไรอีก ถ้าไม่ใช่ มาส์กข้าว มาส์กน้ำตาล และ มาส์กงาดำ
ถ้าจำไม่ผิดแต่ก่อนช่วงเกาหลีฟีเวอร์ใหม่ๆ ขายกันซองละ 25-30 บาทเลยนะ เดี๋ยวนี้ไม่รู้ขายเท่าไรเพราะไม่ซื้อ
3 ชิ้นนี้ดีจริงจึงฮิต แต่ค่ะ หนึางสาเหตุที่เราไม่เคยซื้อไซค์จริงใช้ เพราะ เราได้มาฝากจากเพื่อนที่ไปเกากลีมาเกือบอย่างละ 10 ซอง แล้วเราใช้ซองละ 4 ครั้งได้ มันก็เลยใช้นาน แต่เราไปซื้อตัว มาส์กโคลนชาเขียวแทน ซื้อที่ช๊อปด้วย ฟาดไปเกือบ ห้าร้อย เข็ด
อ้อ มาส์กชาเขียวเราชอบนะ เรื่องสิวกับคุมมันโอเคทีเดียว กระปุกยังอยู่เลย เอามาใช้มาส์กทำเอง
ก่อนอื่นเราขอบอกก่อนว่า ปกติถ้าไม่ขี้เกียจ เราจะมาส์กหน้าอาทิตย์ละ 3 วัน ถ้าช่วงไหนหน้าโดนแดดนานหรือแห้งๆ ก็จะเป็น 5 วัน ใช้สลับกันไปทั้ง 3 -4 อย่างเนี่ยแหละ ดังนั้นผลที่ได้ในโหมดมาส์กพวกนี้ค่อนข้างไม่เจาะจงระยะยาว เน้นผลหลังใช้มากกว่าค่ะ
ไม่มีรูปเนื้อมาส์กให้ดูเด้อ แต่เราจะบอกวิธีที่เราทำมาส์กเลียนแบบใช้เองละกัน
มาส์กข้าว : rice wash off mask
ตัวนี้ช่วยในเรื่องความนุ่มได้ดี ไม่ได้ขาวนะสำหรับเรา เพราะมันอยู่บนหน้าแค่ 5-10 นาที จะมาขงขาวได้ไง ขนาดครีมโปะหน้าทั้งคืน ยังใช้เวลาเลย จริงมั๊ย
เนื้อมาส์กสีขาวเหมือนข้าวสารนิ่มๆบดละเอียด ทาลงบนใบหน้าที่สะอาดเปียกๆรอหมาดๆ ใช้ปลายนิ้ว นวดวนๆ แล้วล้างออก จะพบว่าหน้าสะอาด นุ่มขึ้น ยิ่งใช้บ่อยจะสังเกตได้เลย ไม่มีผลเรื่องผลัดเซลล์ผิว การนวดช่วยกระตุ้นผิวหน้าเราให้มีการไหลเวียนเลือดดีขึ้นเท่านั้น
เวลาเราใช้จะชอบใช้วันที่ขี้เกียจทาครีมก่อนนอน เหอๆ ตัวอย่างที่ไม่ดีนะ ใช้แล้วหน้านุ่มนิ่ม ชอบ เสมือนหนึางทาครีม
มาส์กข้าวของเรา (ไว้ลงวิธีทำแยกอีกบล๊อกดีกว่า อิอิ) คือเอาข้าวสาร ต้องข้าวหอมมะลินะ เรื่องกลิ่นหอมชนะชาติมาส์กอีตูดี้ชัวร์ เอามา2-3 ช้อนโต๊ะ แช่น้ำไว้ 1 ชั่วโมงให้เม็ดข้าวนิ่ม แล้วเทลงโถปั่น ใส่น้ำที่แช่ไว้แค่พอให้ปั่นได้ อย่าให้เหลว ปั่นจนละเอียดกริ๊บ แค่นี้เองได้มาส์กข้าวใช้แล้ว ใช้ดีไม่แพ้ของซื้อเลย ยืนยัน ทำให้พี่สาวมาแล้ว
ถ้าอยากให้ได้แบบคุณค่าเต็มๆแร่ธาติเยอะๆ ก็ใช้น้ำแร่แทนน้ำธรรมดา บางทีเราหยดน้ำผึ้ง ไม่ก็เซรั่มที่ใช้อยู่ลงผสมก่อนเอามาส์กหน้าด้วย ยิ่งดีกว่าของอีตรูคเข้าไปอีก ดังนั้นสนับสนุนให้ทำเองค่ะ
มาส์กงาดำ : black sesame hot mask
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นมาส์กแบบอุ่น(ไม่ได้ร้อนนะ แค่อุ่นๆ) เน้นไปทางทำความสะอาดรูขุมขน ลักษณะเนื้อมาส์กจะเหมือนเอางาดำมาตำผสมสารที่จับเป็นเพวยสท์ขึ้น พอทาลงหน้าที่สะอาดจะอุ่นๆ
เขาเคลมว่าไปเปิดรูขุมขน ช่วยลดการอุดตันของส่งสกปรก ซึ่งมันไม่ได้อุ่นนานและมากพอหรอก แป๊ปเดียวเท่านั้นเอง พอหายอุ่นก็นวดๆกระตุ้นผิวไปด้วยทีเดียว ถามว่าประทับใจไหม ก็ถ้าใช้วันที่ออกไปเที่ยวหน้าเหนียวๆกลับมา เราว่าก็รู้สึกสะอาดดี แต่วันปกติ ใช้แล้วก็เฉยๆ มีก็ใช้ไม่มีก็ไม่ดิ้นรน ฮ่าๆ
มาส์กงาดำของเรา อันนี้เคยทำ2 ครั้ง อยากลอง คือเอางาดำ มาตำพอแหลก มันจะมีน้ำมันงาออกมา ผสมกับน้ำมันมะกอกนิดๆ แล้วนวดหน้า อืม หน้านุ่มแหละ แต่ไม่ได้อุ่นๆ เพราะเราไม่มีสารที่ให้ผลตรงนั้น ซึ่งเรากลับชอบผลของมาศ์กทำเองมากกว่า ครั้งที่สองที่ทำเลยทำมากหน่อย เอาไว้นวดล้างเครื่องสำอางซะเลย พอดีช่วงนั้น cleansing oil หมด
เนี่ย ว่าจะทำอีก แต่ขี้เกียจตำงา ซะงั้นอ่ะเรา
มาส์กน้ำตาล : black sugar wash off mask
ตัวนี้เราไม่เน้นมาส์ก แต่เน้นเป็นสครับมากกว่า ลักษณะเนื้อเหมือนน้ำตาลที่ละลายไปบางส่วน สีน้ำตาลเยิ้มๆ น่าเอาเข้าปากชิม เหอๆ ใช้เวลาที่อยากกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว คือพอเราล้างหน้า รอหน้าหมาด เอามาส์กลงนวดเบาๆวนๆจนน้ำตาลละลายหมด ก็ทิ้งไว้อีกแป๊ป ต่อยล้างออก หน้าจะแดงๆเหมือนมีเลือดฝาด สดชื่อนสะอาดดี
แต่เราไม่ชอบตรงที่เกล็ดน้ำตาลมันคม ลงแรงมากบาดหน้าอีก หลังๆเอามาขัดข้อศอกมันซะเลย อืม เข้าท่าแฮะ
มาส์กน้ำตาลของเรา เอาน้ำตาลทรายแดงแบบที่ไม่ได้ป่นละเอียด มาผสมกับน้ำผึ้ง กะให้ไม่ไหลเวลาขัดหน้า ถ้าแห้งไปเหนียวไป หยดน้ำอุ่นทีละน้อย ผสมให้เข้ากัน ออกมาหน้าตาเหมือนเป๊ะกับของอีตรูดเลยล่ะ มีน้ำผึ้งช่วยให้หน้านุ่ม ลดการอักเสบของสิวด้วย เริศ เป็นเหตุให้ไม่เคยซื้อไง
ปล. จริงๆเวลามีสิวอักเสบไม่ควรขัด สครับหน้าตานะคะ สิวจะระเบิดเอาได้
ดังนั้นสำหรับเราแล้ว เราทำมาส์กเองได้ ก็เลยไม่ซื้อ ซองๆที่มีอยู่นี้เก็บไว้เวลาไปเที่ยวค้างคืน พกง่ายดี ใครขอก็ให้ ตอนนี้เหลืออยู่แค่1-2 ซองเอง อยู่บ้านเวลาอยากมาส์กหน้า เราก็เข้าครัวทำแป๊ปเดียว ได้มาส์กมาเป็นกระปุก แบ่งพี่ แบ่งน้าอีกต่างหาก
Tuesday, June 12, 2012
Posted by
Cook n Bake Journal By Morningglory Khae
at
10:00 AM
เอาของสวยๆงามๆ เอ๊ะ หรือ ของเพื่อความสวยงามหว่า อิอิ เอามารีวิวค่ะ เป็นบรัชออนที่ขายในดรักสโตร์ของอเมริกา ถ้าซื้อที่ราคาไม่กี่บาท บางชิ้นไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำไป แต่บ้านเราถ้าอยากได้ ก็ต้องฝากหิ้ว พรี หรือซื้อจากแม่ค้าที่บินไปซื้อมาอีกทอด ราคาก็เลยไม่เลยไม่ตายตัว ขึ้นกับว่าจะโดนบวกเท่าไร ที่ซื้อมาจำราคาคร่าวๆ บรัชตลับละ 170 บาท บรอนเซอร์ 185 บาท(มั้ง) ซึ่งจริงๆแล้ว เขาอิตกันมานานแล้วล่ะค่ะ ว่าจะว่าจะ ก็ไม่ได้ถอยมาลอง เพราะตัวเองก็มีบรัชหลายอันอยู่ด้วย จนเพื่อนจะถอยก็เลยมาชวนแชร์ค่าส่ง จัดมาได้ บรัช 3 สี บรอนเซอร์ 1 ตลับ ได้อายแชโดว์ของยี่ห้อเดียวกันมาอีก 1 พาเลต ไว้ค่อยรีวิวทีหลังนะคะ ขอพูดเรื่องบรัชออนอย่างเดียวก่อน
ตัวแรกค่ะ
Review and Swatch
e.l.f blush on 3 สี และ Golden Bronzer
เอาของสวยๆงามๆ เอ๊ะ หรือ ของเพื่อความสวยงามหว่า อิอิ เอามารีวิวค่ะ เป็นบรัชออนที่ขายในดรักสโตร์ของอเมริกา ถ้าซื้อที่ราคาไม่กี่บาท บางชิ้นไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำไป แต่บ้านเราถ้าอยากได้ ก็ต้องฝากหิ้ว พรี หรือซื้อจากแม่ค้าที่บินไปซื้อมาอีกทอด ราคาก็เลยไม่เลยไม่ตายตัว ขึ้นกับว่าจะโดนบวกเท่าไร ที่ซื้อมาจำราคาคร่าวๆ บรัชตลับละ 170 บาท บรอนเซอร์ 185 บาท(มั้ง) ซึ่งจริงๆแล้ว เขาอิตกันมานานแล้วล่ะค่ะ ว่าจะว่าจะ ก็ไม่ได้ถอยมาลอง เพราะตัวเองก็มีบรัชหลายอันอยู่ด้วย จนเพื่อนจะถอยก็เลยมาชวนแชร์ค่าส่ง จัดมาได้ บรัช 3 สี บรอนเซอร์ 1 ตลับ ได้อายแชโดว์ของยี่ห้อเดียวกันมาอีก 1 พาเลต ไว้ค่อยรีวิวทีหลังนะคะ ขอพูดเรื่องบรัชออนอย่างเดียวก่อน
ตัวแรกค่ะ
e.l.f golden bronzer
เคยได้หาข้อมูลรีวิวมาหลายที่ค่ะ บรอนเซอร์ที่ฮิตๆของ e.l.f จะเป็นอีกตัวที่มี 2 คู่สี แล้วสีด้านหนึ่งจะไปคล้ายสี orgasm ของ nars อีกด้านคล้ายสี laguna แต่พอไปดู swatch แล้วเราว่าไม่เหมือนนะ เคยได้ลองสี orgasm ของnars ชอบละแต่แพงเลยไม่ซื้อ สรุปเลยไม่เอา ขอถอยตัวนี้ ซึ่งบรอนเซอร์แบบ 4 ช่องของยี่ห้อนี้ จะมี 3 โทนมั้ง คือ warm,golden และอีกสีจำชื่อไม่ได้ หาอ่านจากรีวิว สาวเอเชียอันเดอร์โทนเหลืองส่วนใหญ่จะเชียร์สีนี้นะ ก็เลยเอามาลอง
ด้านในใต้แสงธรรมชาติ ลืมถ่ายด้านในใต้แสงไฟค่ะ
ลักษณะตลับเป็นสีดำด้าน ขนาดตลับค่อนข้างใหญ่ ด้านหลังจะมีสติ๊กเกอร์กลมๆเล็กๆบอกชื่อสีไว้ แต่บอกว่าผลิตในจีน (อ้าววววว) อายุการใช้งาน 12 เดือดหลังเปิดใช้ (สั้นไปไหม)มีกระจกให้ด้วย แต่ก๊องแก๊งไปนิด เปิด 2 ทีกระจกหลุด
มี 4 ช่องสีค่ะ ช่องขวาล่างจะปั๊มอักษร e.l.f เอารวมๆเป็นโทนทองๆอุ่นๆ ไม่มีวิ้งแต่วาวๆเงาๆ ซึ่งอยากได้แมทบรอนเซอร์มากกว่า สามารถแยกใช้ 4 ช่องเป็น บรัช ไฮไลท์ บรอนเซอร์ได้ จะว่าคุ้มก็คุ้ม แต่จะปัดรวมๆก็ได้อีก สีที่ออกมาเป็นแบบนี้เวลาปัดรวมกัน
ถามว่าประทับใจไหม ตอบว่า เฉยๆ เพราะมันอ่อนไปจะเอามาคอนทัวร์ แต่ก็พอใช้ได้ถ้าจะใช้เป็นบรอนเซอร์บางๆ ติดที่มันเงาๆวาวๆหน่อยๆนี่แหละที่อาจทำให้หน้าดูมันได้
แต่สีอ่อน ถ้าเป็นคนผิวขาวก็อาจจะกำลังพอดี เนื้อสีจิกยาก คงต้องใช้แปรงแข็งๆหน่อยมาจิกตัวสีขึ้นมา อืม เอาไว้ใช้เวลากลางคืนไปงานใต้แสงไฟน่าจะเหมาะกว่ากลางวัน เพราะมุมตกกระทบของแสงจะดูหรู มีมิติสวยกว่า
อย่างสีที่อาจใช้เป็นบรัช ปัดแรงๆ 3 รอบยังแทบไม่เห็นสีเลยค่ะ แต่ใครชอบปัดอะไรเบาๆบางๆอาจถูกใจมั้ง
ข้อดี
ข้อเสีย
ลักษณะตลับเล็กกว่าตลับบรอนเซอร์ครึ่งนึง สีดำด้าน มีช่องให้มองได้ว่าข้างในสีอะไร ด้านหลังตลับจะมีสติ๊กเอกร์กลมๆเล็กๆบอกชื่อสี และอายยุการใช้งาน 12 เดือน
เปิดตลับออกมามีพลาสติกพิมพ์คำว่า e.l.f studio วางกันตัวบรัชเอาไว้ ด้านในฝาปิดมีกระจกขนาดเล็กมาให้เท่ากับความกว้างของฝาปิด
สี tickled pink เป็นโทนชมพูอมแดงอมส้มนิดๆ มีลิตเตอร์ละเอียดมาก แต่ปัดแล้วมันก็ร่วงไปหมด เหลือไว้แต่ความวาว อารมณ์รวมมิตรมันทุกเฉดเท่าที่บรัชจะมี ฮ่าๆ
สีใต้แสงไฟ
สีใต้แสงธรรมชาติ
ลักษณะเนื้อฝุ่น เม็ดสีไม่แน่น สวยใช้ได้ แต่ติดไม่ทนเอาซะเลย เนื้อสีจิกยาก ใช้นิ้วถูมาสวอทช์ยังชัดกว่าใช้บรัชเลย เราว่าคนผิวขาวถึงขาวกลางๆน่าจะปัดแล้วขึ้น ดูน่ารักน่าชัง คนผิวเหลืองไม่ค่อยเกิดเท่าไรนะแต่ก็ไม่ได้ดับอ่ะ
สี candid coral สีส้มอมพีชอมชมพูนิดๆ อมอะไรไม่รู้อธิบายไม่ถูก สวยดีสำหรับบรัชโทนส้ม วาวๆเงาๆ แต่ปัดหนักมือแล้วโดดชัดเจน ดังนั้นต้องค่อยๆเพิ่มทีละนิดและเกลี่ยให้ดี
สีใต้แสงไฟ
สีใต้แสงธรรมชาติ
โดยรวมเราชอบนะเพราะชอบบรัชโทนส้มที่ไม่แปร๋นไปทางส้มมาก ปัดแล้วแก้มดูเหมือนสุขภาพดี บางคนเอาไปเทีบยกับ orgasm ของ nars อีกแล้ว เราว่าคล้ายแต่ไม่เหมือน คุณภาพแตกต่างเทียบไม่ได้เลย สีนี้ในรูปดันสีคล้าย tickled pink ซะงั้น--*สีเพี้ยนค่ะ
ใต้แสงแฟลชจะเห็นสีส้มมีวิ้งทอง
สามารถปัดประจำวันได้ ปัดได้เรื่อยๆ เติมระหว่างวันไปไม่ต้องเสียดายเพราะมันถูก
สี peachy keen สีนี้เป็นสีอมชมพูอมส้มอมทอง หนักไปทางชมพูกว่า candid coralแต่ดูเผินๆคล้ายๆกัน ปัดแล้วสีรวมๆออกมาทางไฉไลต์มากกว่าบรัช คือมันเงาวาวหมดทั้ง 3 สีแหละแต่สีนี้จะเนื้อออกหรูๆมากกว่า บอกไม่ถูก
สีใต้แสงไฟ
สีใต้แสงธรรมชาติ
เป็นสีที่ปัดแล้วดูผู้ดีแฮะ แต่อ่ะนะ ปัดกลางวันมองไม่ค่อยเห็น แต่ปัดกลางคืนสวย คนทุกสีผิวผิวน่าจะยิ่งเกิดเลยสีนี้ ถ้าปัดออกงาน
ใต้แสงแฟลชบ้าง แยกกับ candid coral ไม่ออกเพราะกล้อง แฮะๆ
มาสรุปข้อดีข้อเสียกันเถอะ
ข้อดี
จบแล้วค่ะ บรัชตระกูล e.l.f เราว่าคุณภาพกับราคาก็โอเคนะ คือไม่ได้ดีเว่อร์แต่ก็เกินราคา ใครอยากได้บรัชสีสวยๆต่างจากบรัชราคาช่วงเดียวกันในบ้านเราก็ลองหามาใช้ดูก่อนได้ค่ะ ลองสักสีเดียวก่อน ชอบค่อยซื้อเพิ่ม เพราะถึงจะถูก แต่ถ้าไม่ชอบไม่ใช้ก็เก็บเงินไว้จะดีกว่า
ด้านในใต้แสงธรรมชาติ ลืมถ่ายด้านในใต้แสงไฟค่ะ
มี 4 ช่องสีค่ะ ช่องขวาล่างจะปั๊มอักษร e.l.f เอารวมๆเป็นโทนทองๆอุ่นๆ ไม่มีวิ้งแต่วาวๆเงาๆ ซึ่งอยากได้แมทบรอนเซอร์มากกว่า สามารถแยกใช้ 4 ช่องเป็น บรัช ไฮไลท์ บรอนเซอร์ได้ จะว่าคุ้มก็คุ้ม แต่จะปัดรวมๆก็ได้อีก สีที่ออกมาเป็นแบบนี้เวลาปัดรวมกัน
ถามว่าประทับใจไหม ตอบว่า เฉยๆ เพราะมันอ่อนไปจะเอามาคอนทัวร์ แต่ก็พอใช้ได้ถ้าจะใช้เป็นบรอนเซอร์บางๆ ติดที่มันเงาๆวาวๆหน่อยๆนี่แหละที่อาจทำให้หน้าดูมันได้
แต่สีอ่อน ถ้าเป็นคนผิวขาวก็อาจจะกำลังพอดี เนื้อสีจิกยาก คงต้องใช้แปรงแข็งๆหน่อยมาจิกตัวสีขึ้นมา อืม เอาไว้ใช้เวลากลางคืนไปงานใต้แสงไฟน่าจะเหมาะกว่ากลางวัน เพราะมุมตกกระทบของแสงจะดูหรู มีมิติสวยกว่า
อย่างสีที่อาจใช้เป็นบรัช ปัดแรงๆ 3 รอบยังแทบไม่เห็นสีเลยค่ะ แต่ใครชอบปัดอะไรเบาๆบางๆอาจถูกใจมั้ง
ข้อดี
- ราคาถูก
- ใช้ได้หลายคุณสมบัติ
- เหมาะกับงานกลางคืน
ข้อเสีย
- หาซื้อยาก ราคาไม่แน่นอน
- เม็ดสีไม่แน่น เนื้อบรัชแข็งจิกสียาก
- ติดไม่ทน
e.l.f blush on - peachy keen, tickled pink and candid coral
ลักษณะตลับเล็กกว่าตลับบรอนเซอร์ครึ่งนึง สีดำด้าน มีช่องให้มองได้ว่าข้างในสีอะไร ด้านหลังตลับจะมีสติ๊กเอกร์กลมๆเล็กๆบอกชื่อสี และอายยุการใช้งาน 12 เดือน
เปิดตลับออกมามีพลาสติกพิมพ์คำว่า e.l.f studio วางกันตัวบรัชเอาไว้ ด้านในฝาปิดมีกระจกขนาดเล็กมาให้เท่ากับความกว้างของฝาปิด
สี tickled pink เป็นโทนชมพูอมแดงอมส้มนิดๆ มีลิตเตอร์ละเอียดมาก แต่ปัดแล้วมันก็ร่วงไปหมด เหลือไว้แต่ความวาว อารมณ์รวมมิตรมันทุกเฉดเท่าที่บรัชจะมี ฮ่าๆ
สีใต้แสงไฟ
สีใต้แสงธรรมชาติ
ลักษณะเนื้อฝุ่น เม็ดสีไม่แน่น สวยใช้ได้ แต่ติดไม่ทนเอาซะเลย เนื้อสีจิกยาก ใช้นิ้วถูมาสวอทช์ยังชัดกว่าใช้บรัชเลย เราว่าคนผิวขาวถึงขาวกลางๆน่าจะปัดแล้วขึ้น ดูน่ารักน่าชัง คนผิวเหลืองไม่ค่อยเกิดเท่าไรนะแต่ก็ไม่ได้ดับอ่ะ
สี candid coral สีส้มอมพีชอมชมพูนิดๆ อมอะไรไม่รู้อธิบายไม่ถูก สวยดีสำหรับบรัชโทนส้ม วาวๆเงาๆ แต่ปัดหนักมือแล้วโดดชัดเจน ดังนั้นต้องค่อยๆเพิ่มทีละนิดและเกลี่ยให้ดี
สีใต้แสงไฟ
สีใต้แสงธรรมชาติ
โดยรวมเราชอบนะเพราะชอบบรัชโทนส้มที่ไม่แปร๋นไปทางส้มมาก ปัดแล้วแก้มดูเหมือนสุขภาพดี บางคนเอาไปเทีบยกับ orgasm ของ nars อีกแล้ว เราว่าคล้ายแต่ไม่เหมือน คุณภาพแตกต่างเทียบไม่ได้เลย สีนี้ในรูปดันสีคล้าย tickled pink ซะงั้น--*สีเพี้ยนค่ะ
ใต้แสงแฟลชจะเห็นสีส้มมีวิ้งทอง
สี peachy keen สีนี้เป็นสีอมชมพูอมส้มอมทอง หนักไปทางชมพูกว่า candid coralแต่ดูเผินๆคล้ายๆกัน ปัดแล้วสีรวมๆออกมาทางไฉไลต์มากกว่าบรัช คือมันเงาวาวหมดทั้ง 3 สีแหละแต่สีนี้จะเนื้อออกหรูๆมากกว่า บอกไม่ถูก
สีใต้แสงไฟ
สีใต้แสงธรรมชาติ
ใต้แสงแฟลชบ้าง แยกกับ candid coral ไม่ออกเพราะกล้อง แฮะๆ
มาสรุปข้อดีข้อเสียกันเถอะ
ข้อดี
- ราคาถูก
- สีสวย
- ตลับโอเคไม่แข็งแรงมากขนาดว่าตกแล้วไม่สะดุ้งสะเทือนแต่ก็ไม่ก๊องแก๊ง ตลับคล้ายนาร์อ่ะว่างั้น มีกระจกในตลับด้วย แต่ไม่มีแปรง
- เม็ดสีไม่แน่น
- ติดไม่ทน
- ฝุ่นสีเยอะ ยิ่งใช้แข็งมาจิกสี ฝุ่นยิ่งเลอะตลับชัดเจน
จบแล้วค่ะ บรัชตระกูล e.l.f เราว่าคุณภาพกับราคาก็โอเคนะ คือไม่ได้ดีเว่อร์แต่ก็เกินราคา ใครอยากได้บรัชสีสวยๆต่างจากบรัชราคาช่วงเดียวกันในบ้านเราก็ลองหามาใช้ดูก่อนได้ค่ะ ลองสักสีเดียวก่อน ชอบค่อยซื้อเพิ่ม เพราะถึงจะถูก แต่ถ้าไม่ชอบไม่ใช้ก็เก็บเงินไว้จะดีกว่า
Thursday, June 7, 2012
Acne therapy มารักษาสิวด้วยตัวเองกันเถอะ
Posted by Cook n Bake Journal By Morningglory Khae at 6:37 AM
Acne therapy
มารักษาสิวด้วยตัวเองกันเถอะ
วันนี้มีไอเท็มที่ใช้รักษาสิวมาฝากค่ะ หลายๆคนน่าจะกลุ้มใจกับเรื่องสิวๆที่ไม่สิว อย่างตัวเองก็เคยไปตามร้านหมอ หลายร้านก็ยังเป็นๆหายๆ ด้วยผิวมันมากด้วยมั้ง
ก็เลยไม่เคยห่างไกลจากปัญหาสิวๆเลยค่ะ ไปหาหมอจนเบื่อและจน อิอิ ก็หาของมารักษาตัวเองดีกว่า มาดูค่ะว่าใช้อะไรบ้าง
* ผลลัพท์ขึ้นกับสภาพผิวและความรุนแรง สาเหตุ ของสิว ต่างกันไปในแต่ละบุคคล ก่อนใช้ควรหาข้อมูลให้รอบด้าน ทดสอบการแพ้ และใช้ด้วยความระวังตามฉลากกำกับยาอย่างเคร่งครัด หากมีอาการระคายเคือง
ควรหยุดใช้และพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ
รูปหมู่ก่อนเลย
มาที่ชิ้นแรกค่ะ
Paula's choice BHA 10%
ตัวนี้ใครเล่นห้องแป้งพันทิปคงรู้ว่าเป็นไอเท็มเด็ดของสาวๆที่มีปัญหาสิวเลยค่ะ หาซื้อได้ตามตัวแทนจำหน่าย ราคาไม่รู้ว่าตายตัวไหมนะคะ สอยมาที่ 779 บาท หน้าตาขวดตัวนี้เป็นขวดแบบใหม่สุดค่ะ หัวปั๊ม อ่านฉลากก่อนใช้ ฝาปั๊มทำให้ได้ตัวผลิตภัณฑ์มาใช้ง่าย กะปริมาณได้ แต่... ใช้สามครั้ง หัวปั๊มหลุด กรรม กว่าจะหาทางใส่กลับคืน เสียเจลไปหลายอยู่
ลักษณะเนื้อผลิตภัณฑ์เป็นเจลใสหนืดค่ะ ใช้ต่อครั้งแค่ครึ่งปั๊มก็พอแล้ว มากกว่านี้หน้าเอาจจะมันเมือกได้ รายละเอียดที่ค่อนข้างลึกและครบถ้วนหาอ่านได้ที่บล๊อกคุณปูเป้ ณ บเลือกใหพ้ง่าบล๊อกแก๊งค์ค่า
เท่าที่หาข้อมูลมา ตัวนี้จะมี 2 รุ่น ต่างกันที่เปอร์เซนต์ของ BHA ตัว 10% จะเข้มข้นที่สุด ใครหน้าบาง(ผิวบาง แพ้ง่าย) ให้ลองที่ความเข้มข้นต่ำสุดก่อนค่ะ พอดีว่าหน้าเราด้าน เอ๊ย เคยผ่าน AHA หมอ แสบๆมาแล้ว แค่นี้สีทนได้
เวลาเลือกซื้อให้ดูตามสภาพผิวเราเป็นหลักนะคะ ผิวธรรมดาผิวแห้งและ จะเหมาะกับเนื้อ liquoid และ lotion มากกว่าเจล
อย่าซื้อตามกระแสเด็ดขาด
ประโยชน์ : ลดสิวอุดตัน ผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น เมื่อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้
(อย่าเข้าใจว่าใช้แล้วจะผลัดเซลล์ผิวให้ขาว กระจ่างใส นั่นไม่ใช่ผลของ BHA นะคะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ)
หากต้องการข้อมูล ข้อมูลเชิงลึกและครบถ้วน ให้อ่านได้ที่บล๊อกคุณปูเป้ ณ บล๊อกแก๊งค์ค่ะ)
ตัวนี้จะได้ผลดีที่สุดเมื่อผิวหน้ามี pH เป็่นกรดอ่อนๆ ทำให้มีโทนเนอร์ออกมาใช้คู่ด้วย แต่เราไม่ซื้อค่ะ เปลือง และพอดีว่ามี โฟมล้างหน้าของ juice organic ซึ่งทำจากธรรมชาติล้วนและมีกรดผลไม้ ก็เลยจับมาใช้คู่กันซะเลย ตัวโฟมถ้ามีเวลาจะมารีวิวทีหลังให้ค่ะ
ล้างหน้าแล้ว ซับหน้าให้แห้ง กดปั๊มผลิตภัณฑ์ลงอุ้งมือแค่ครึ่งปั๊ม(ใครหน้าใหญ่กว่านี้ก็เพิ่มตามไปนะคะ) แล้วทาบางๆทั่วใบหน้า เว้นรอบตาและเนื้อเยื่ออ่น เช่น ร่องจมูก รอบปาก (ถ้าใครไม่แพ้และไม่มีปัญหาผิวลอกบริเวณนี้ก็ทาได้ค่ะ)
ทาทั่วแล้ว กดซับย้ำๆให้เจลซึมเข้าผิวจนไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหน้า เว้นระยะไว้ 20 นาทีซึ่งตัวเจลจะทำงานได้ดีที่สุด แล้วจะล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด หรือลงครีมบำรุงประจำวันได้ตามปกติค่ะ
ผลการใช้ (เราใช้เฉพาะกลางคืนค่ะ) เป็นเวลา 2 เดือน สิวอุดตันลดลงบ้างแต่ไม่ทั้งหมด คงต้องใช้เวลามากกว่านี้
ตอนใช้ครั้งแรก หลายๆคนมีอาการยิบๆเหมือนมดกัด แต่เราไม่เป็นค่ะ เฉยมากถึงมากที่สุด ถ้าเผลอลงเจลปริมาณมาก หน้าจะมันสุดๆหลังตื่นนอน
ช่วงอาทิตย์แรก สิวใหม่ไม่ขึ้นค่ะ สิวอุดตันที่คาดว่าจะขึ้น ก็ยุบลงเรื่อยๆ แต่เมื่อเข้าอาทิตย์ที่สอง มาเลยค่ะ ผลข้างเคียงที่หลายคนเจอ นั่นคือ สิวบุก แยกให้ออกนะคะระหว่างการแพ้ และสิงบุกจากผลข้างเคียงที่อาจพบได้ (ผลการรักษาด้วยตัวนี้หลักๆคือ ผลักสิวให้ออกมาให้หมดค่ะ)
ถ้าแพ้ จะแสบร้อน แดงด้วยค่ะ ต้องหยุดใช้ การที่สิวบุกนี่ มั่นใจค่าว่าเกิดจากตัวนี้ นั่นเพราะเราหยุดยารักษาสิวตัวอื่นทั้งหมด พอสิวบุกก็อดทนค่ะ มันจะออกมาให้กลัวพักนึงแล้วจะดีขึ้น แต่สิวเสี้ยนนี่หายไปหมดตั้งแต่แรก เป็นข้อที่เห็นชัดมาก ครบ 2 เดือนก็มารักษาด้วยตัวอื่นกันค่ะ
ข้อควรระวังและควรทำ : เนื่องจากความเป็นกรดจะผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกของเรา ผิวเราจะบางลง ถ้าเจอแดด โอกาสดำ เป็นฝ้ามีสูงมาก ต้องทาครีมกันแดดที่มี spf ไม่ต่ำกว่า 25 เป็นประจำ(ค่า PA+++ ด้วยนะคะ) หลีกเลี่ยงการขัดหน้าด้วยสครับรุนแรงหรือลดความถี่ลง ถ้ามีอาการผิดปกติต้องหยุดใช้ทันที
Benzac AC 5 (Benzoyl peroxide)
อย่างน้อยที่สุดคือ ระคายเคืองน้อย เนื่องจากเป็น water base gel
ประโยขน์ : ลดการเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบ (คนละอย่างกับลดการอักเสบของสิวนะคะ)
ขนาดที่เราซื้อเป็นหลอดใหญ่ ขนาด 60 กรัมค่ะ ไม่แน่ใจว่าหลอดเล็กขนาดเท่าไร ราคา(แล้วแต่ร้าน) 270 บาทขาดตัว
วิธีใช้ ทาบางๆหลังล้างหน้าบริเวณที่มักจะเป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบบ่อยๆ หรือทั่วหน้า เว้นรอบดวงตา วันละ 1 หรือ 2 ครั้ง ช่วงแรกอาจทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก พอทนได้ก็เพิ่มเวลาตามลำดับ
ผลการใช้ : เราใช้ร่วมกับ Paula's choice BHA นะคะ แต่เริ่มใช้หลังจากสิวอุดตันจากตัวพอลล่าขึ้นมาคงตัวระยะนึงแล้ว ใช้ทาช่วงเย็นหลังจากล้างหน้าให้สะอาด แล้วก็ทาบางๆทิ้งไว้จนเกือบๆ3 ทุ่มถึงล้างออก
สิวอุดตันที่มีแห้งเร็วขึ้น หน้าก็แห้งขึ้นด้วย ถ้ามีสิวอักเสบจะหายไวขึ้นมาก รอยสิวไม่ดำเท่าเวลาที่ไม่ใช้
ผลข้างเคียงที่อาจพบ : หน้าแห้งจนอาจจะลอกได้ในบางคน แต่เราหน้ามันระดับมันมาก ตรงนี้เลยไม่เป็นไรมาก หน้าแห้งลงนิดหน่อย แต่ช่วงไหนบำรุงไม่ดี รอบจมูกจะมีขุยบางๆค่ะ เลยต้องระวัง
Stiva A 0.0025 กรัม
มาถึงตัวสุดท้ายค่ะ ตัวนี้เน้นผลด้านลดการอักเสบ และช่วยลดสิวอุดตัน ซึ่งตัวยาคือ Tretinoin เป็นตัวเดียวกับยากินเม็ดม่วงๆนั่นแหละค่ะ ตัวยาเหมือนยี่ห้อ Retin-A ด้วย ความเข้มข้นเดียวกัน แต่ขนาดหลอดต่างกันมากกกก
ที่ได้ตัวนี้มาเพราะพี่ซื้อให้ผิด ลองใช้แล้วประทับใจเนื้อครีม ที่ซึมง่ายกว่า เรตินเอมาก เหนียวเหนอะหนะน้อยกว่า แต่ผลการรักษาแย่มาก แทบไม่เห็นผล
ข้างหลังหลอดว่าไว้ให้ใช้ 2 เดือนขึ้นไป เฮ้อ จะอดทนนานขนาดนั้นดีไหมน้า ทั้งที่ทาเรตินเอ 2 คืนสิวยุบเห็นๆได้เลย
ประโยชน์ : ลดการอักเสบ และลดสิวอุดตัน
การทำงาน : ผลักสิวอุดตันใต้ผิวหนังให้ออกมาค่ะ
ข้อควรระวัง : ผิวจะไวต่อแสงและแสงแดดมากขึ้น โอกาสคล้ำเกิดฝ้าสูง ต้องเลี่ยงแสงและแสงแดด ห้ามทาตอนเช้า ใช้เฉพาะกลางคืนก่อนนอนเท่านั้น และกลางวันต้องทากันแดดเสมอ
จากประโยชน์และการทำงานของครีม ดูน่ากลัวนะว่ามั๊ย ใครที่อดทนได้ จะได้หน้าใสๆมาครองค่ะ เราเคยใช้เรตินเอแรกๆ (ใช้ตัว 0.0005%นะคะ) สิวขึ้นมาเต็มหน้า อุดตันเม็ดเป้งๆทั้งนั้น ใช้ช่วงปิดเทอมใหม่ๆ อดทนไป 1 เดือน ดีขึ้น หน้าเกือบใส แล้วก็หยุดเพราะจะเปิดเทอมแล้ว
หลังจากเปลี่ยนเป็นตัวที่แรงขึ้นมาก็ไม่กล้าทำแบบเดิมอีก ใช้ทาหัวสิวเม็ดที่อุดตันจริงๆเป็นจุดๆไปค่ะ จะทำให้สิวยุบเร็ว(ยุบในที่นี่ต่างจากผลของ benzacค่ะ benzac สิวจะแห้งลงไว แต่ตัวนี้จะสุกเร็วขึ้น) เช่น จาก 6 วันเหลือ 3วันเอง
มาสรุปกันค่ะ ว่าควรจะใช้ตัวไหนเมื่อไรดี
Paula's choice : BHA - เหมาะกับผู้ที่มีสิวอุดตัน สิวเสี้ยน ขึ้นเป็นประจำ ผิวไม่ใส รูขุมขนกว้าง
Benzac AC5 - เหมาะกับผู้ที่มีทั้งสิวอุดตัน โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้ามันมาก ใช้ได้ทั้งผิวแพ้ง่ายและผิวธรรมดาเพราะเป็น water base หรือผู้ที่แพ้ยาที่เป็น alcohol base
Stiva A และ Retin-A - เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดการอักเสบของสิวที่ขึ้นหัวแล้ว ต้องการให้สิวยุบเร็วขึ้น(สุกเร็วขึ้น) หรืออยากเคลียร์สิวอุดตันทั่วใบหน้า เหมาะกับผู้ที่ไม่เจอแดดเป็นประจำและคนมีความอดทนสูง
การระคายเคือง : S > P > B
ระยะเวลาเห็นผลแบบชัดเจน : S = P > B
ราคาและความยากง่ายในการหาซื้อ : P > B > S
ผลข้างเคียง : S > P > B
S= Stiva A
P=Paula's choice
B=Benzac AC 5
สุดท้ายค่ะ ก่อนจะลองใช้ตาม ถามความต้องการของตัวเองก่อนนะคะว่าต้องการอะไร อย่าใช้ตามทั้งหมด อาจซ้ำซ้อนเกินไปสำหรับคุณก็ได้
และควรทดสอบการแพ้ก่อนเสมอ อ้อ อ่านฉลากหรือขอข้อมูลจากเภสัชกรด้วยเสมอนะคะ ขอให้หน้าใสกันทุกคนค่า ^^
Subscribe to:
Posts (Atom)